4.4 เครือข่ายคอมพิวเตอร์
เครือข่ายคอมพิวเตอร์ (computer network) เป็นการเชื่อมต่อคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์ต่อพ่วงเข้าด้วยกันเพื่อให้สามารถใช้ข้อมูลและทัรพยากรร่วมกันได้ เช่น สามารถใช้เครื่องพิมพ์ร่วมกันได้  สามารถใช้ฮาร์ดิสก์ร่วมกันได้ แบ่งปันอุปกรณ์อื่นๆที่มีราคาแพง แม้กระทั่งสามารถใช้โปรแกรมร่วมกันได้ เป็นการลดต้นทุนขององค์กร
เครือข่ายคอมพิวเตอร์สามารถแบ่งออกเป็นประเภทตามพื้นที่ที่ครอบคลุมการใช้งานของเครือข่าย ดังนี้
1. เครือข่ายส่วนบุคคล (Personal Area Network :PAN) เป็นเครือข่ายที่ใช้ส่วนบุคคล เช่นการเชื่อมต่อคอมพิวเตอร์กับโทรศัพท์มือถือ การเชื่อมต่อพีดีเอกับเครื่องคอมพิวเตอร์ ซึ่งการเชื่อมต่อแบบนี้จะอยู่ระยะใกล้ และมีการเชื่อต่อแบบไร้สาย

คำอธิบาย: http://uc.exteenblog.com/armka2518/images/PAN.png
รูปที่ 4.20 เครือข่ายส่วนบุคคล

2.เครือข่ายเฉพาะที่ หรือแลน ( Local Area Network :LAN) เครือข่ายที่ใช้เชื่อมโยงคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์ต่างๆที่อยู่ในพื้นที่เดียวกันหรือใกล้เคียงกัน เช่น ภายในบ้าน ภายในสำนักงานและภายในอาคาร สำหรับการใช้งานภายในบ้านนั้น อาจเรียกเครือข่ายประเภทนี้ว่าเครือข่ายที่พักอาศัย(home network) ซึ่งอาจเชื่อมต่อแบบใช้สายหรือไร้สาย
คำอธิบาย: http://uc.exteenblog.com/armka2518/images/rzai2500.gif
รูปที่ 4.21 เครือข่ายเฉพาะที่ หรือแลน

3. เครือข่ายนครหลวง หรือแมน(Metropolitan Area Network :MAN) เครือข่ายที่ใช้เชื่อมโยงแลนที่อยู่ห่างไกลออกไป เช่น การเชื่อมต่อเครือข่ายระหว่างสำนักงานที่อาจอยู่คนละอาคารและมีระยะทางไกลกัน การเชื่อมต่อชนิดนี้อาจใช้สายไฟเบอร์ออพติก หรือบางครั้งอาจใช้ไมโครเวฟเชื่อมต่อ เครือข่ายแบบนี้ที่ใช้ในสถานศึกษามีชื่อเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า เครือข่ายแคมปัส (Campus Area Network :CAN)

คำอธิบาย: 2-1
รูปที่ 4.22 เครือข่ายนครหลวง หรือแมน

4. เครือข่ายวงกว้าง หรือแวน (Wide Area Network :WAN) เครือข่ายที่ใช้ในการเชื่อมโยงกับเครือข่ายอื่นที่อยุ่ไกลจากกันมาก เช่น เครือข่ายระหว่างจังหวัด หรือระหว่างภาค รวมไปถึงเครือข่ายระหว่างประเทศ
คำอธิบาย: http://uc.exteenblog.com/armka2518/images/wan.gif
คำอธิบาย: wan
รูปที่ 4.23 เครือข่ายวงกว้าง หรือแวน

4.4.1 ลักษณะของเครือข่าย ในการใช้งานเครือข่ายคอมพิวเตอร์เพื่อใช้ทรัพยากรร่วมกัน สามารถแบ่งลักษณะของเครือข่ายตามบทบาทของเครื่องคอมพิวเตอร์ในการสื่อสารได้ดังนี้
1.เครือข่ายแบบรับ-ให้บริการ หรือไคลเอนท์/เซิร์ฟเวอร์ (Client-Server Network )
จะมีเครื่องคอมพิวเตอร์ ที่เป็นเครื่องให้บริการต่าง ๆเช่น บริการเว็บ และบริการฐานข้อมูล การให้บริการขึ้นอยู่กับการร้องขอบริการจากเครื่องรับบริการ เช่น การเปิดเว็บเพจ เครื่องรับบริการจะร้องขอบริการไปที่เครื่องให้บริการเว็บ จากนั้นเครื่องให้บริการเว็บจะตอบรับและส่งข้อมูลกลับมาให้เครื่องรับบริการ ข้อดีคือ สามารถให้บริการแก่เครื่องรับบริการได้เป็นจำนวนมาก ข้อด้อยคือมีค่าใช้จ่ายในการติดตั้งและบำรุงรักษาค่อนข้างสูง
คำอธิบาย: 1
รูปที่ 4.24 ไคลเอนท์/เซิร์ฟเวอร์

2.เครือข่ายระดับเดียวกัน (Peer-to-Peer Network : P2P network)
เครื่องคอมพิวเตอร์สามารถเป็นได้ทั้งเครื่องให้บริการและเครื่องรับบริการ.การใช้งานส่วนใหญ่มักใช้ในการแบ่งปันข้อมูล เช่น เพลง ภาพยนตร์ โปรแกรม และเกม   เครือข่ายแบบนี้เริ่มแพร่หลายมากขึ้นในผู้ใช้อินเทอร์เน็ต การใช้งานจะมีซอฟต์แวร์เฉพาะ เช่น โปรแกรม eDonkey , BitTorrentและ LimeWire  ข้อดีคือง่ายต่อการใช้งานและราคาไม่แพง ข้อด้อยคือไม่มีการควบคุมเรื่องความปลอดภัยจึงอาจพบว่านำไปใช้ในทางไม่ถูกต้อง เช่น การแบ่งปันเพลง ภาพยนตร์และโปรแกรมที่มีลิขสิทธิ์ซึ่งเป็นการกระทำผิดกฎหมาย
คำอธิบาย: ANd9GcQ3cBmTTgAPj81zNmbN5le5x2_bPYa28lBXW5p7bViTSZ5GpOFtgQ
รูปที่ 4.25 เครือข่ายระดับเดียวกัน

4.2.2 รูปร่างเครือข่าย การเชื่อมต่อคอมพิวเตอร์หรืออุปกรณ์รับส่งข้อมูลที่ประกอบกันเป็นเครือข่ายมีการเชื่อมโยงถึงกันในรูปแบบต่างๆ ตามลักษณะทางกายภาพที่เรียกว่ารูปร่างเครือข่าย (network topology) แบ่งตามลักษณะของการเชื่อมต่อได้ 4 รูปแบบคือ
1.  เครือข่ายแบบบัส (bus topology)
เป็นรูปแบบที่มีสถานีทุกสถานีในเครือข่ายจะเชื่อมต่อเข้ากับสายสื่อสารหลักเพียงสายเดียวที่เรียกว่า บัส (bus) การจัดส่งข้อมูลลงบนบัสจึงไปทุกสถานีได้ ซึ่งวิธีการจัดส่งต้องกำหนดวิธีการที่จะไม่ให้ทุกสถานีส่งข้อมูลพร้อมกันเพราะจะทำให้เกิดการชนกัน (collision) ของข้อมูล  โดยวิธีการที่ใช้อาจเป็นการแบ่งช่วงเวลาหรือให้แต่ละสถานีใช้คลื่นความถี่ในการส่งสัญญาณที่แตกต่างกัน เครือข่ายแบบบัสไม่ได้รับความนิยมในปัจจุบัน  เนื่องจากความเสียหายที่เกิดขึ้นกับบัสเพียงจุดเดียวจะส่งผลให้ทุกอุปกรณ์ไม่สามารถสื่อสารถึงกันได้

คำอธิบาย: bus
รูปที่ 4.26 เครือข่ายแบบบัส

2. เครือข่ายแบบวงแหวน (ring topology)
เป็นการเชื่อมต่อแต่ละละสถานีมีลักษณะเป็นวงแหวน  สัญญาณข้อมูลจะส่งอยู่ในวงแหวนไปในทิศทางเดียวกันจนถึงผู้รับ หากข้อมูลที่ส่งเป๋นของสถานีใด สถานีนั้นก็รับไว้ ถ้าไม่ใช่ก็ส่งต่อไป ซึ่งระบบเครือข่ายแบบวงแหวนนี้ สามารถรองรับจำนวนสถานีได้เป็นจำนวนมาก ข้อด้อยคือ สถานีจะต้องรอจนถึงรอบของตนเองก่อนที่จะสมารถส่งขอ้มูลได้
คำอธิบาย: ANd9GcQEPBbl15RG1_HdCmQ7t3uHWlZtDwXAhn4OUMwl-xjosIOoCPyY
รูปที่ 4.27 เครือข่ายแบบวงแหวน

3.  เครือข่าย แบบดาว (star topology)
เป็นการเชื่อมต่อสถานีในเครือข่ายโดยทุกสถานีจะต่อเข้ากับหน่วยสลับสายกลาง เช่น ฮับ(hub) หรือสวิตซ์ (switch) ซึ่งทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางของการเชื่อมต่อระหว่างสถานีต่างๆที่ต้องการติดต่อกัน ข้อดีคือถ้าสถานีใดเสียหรือสายเชื่อมต่อระหว่างฮับ/สวิตซ์ชำรุดจะไม่กระทบต่อการเชื่อมต่อของสถานีอื่น ดังนั้นการเชื่อมต่อแบบนี้จึงเป็นที่นิยมในปัจจุบัน
คำอธิบาย: ANd9GcTOUv6ZY96sKj3ntB3ka6GXFXNRYLgJGFf9IqPgYSsa_5FsBGOe
รูปที่ 4.28 เครือข่าย แบบดาว

4. เครือข่ายแบบเมช (mesh topology)
เป็นรูปแบบการเชื่อมต่อที่มีความนิยมมากและมีประสิทธิภาพสูงเนื่องจากถ้ามีเส้นทางการเชื่อมต่อคู่ใดคู่หนึ่งขาดจากกัน การติดต่อสื่อสารระหว่าคู่นั้นยังสามารถติดต่อได้โดยอุปกรณ์จักฃดเส้นทาง(router) จะทำการเชื่อมต่อเส้นทางใหม่ไปยังจุดหมายปลายทางอัตโนมัติ การเชื่อมต่อแบบนี้นิยมสร้างบนเครือข่ายแบบไร้สาย
คำอธิบาย: mesh_topology
รูปที่ 4.29 เครือข่ายแบบเมช